รักษาสิว วิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง และวิธีรักษาสิวด้วยเทคนิคทางการแพทย์ ทั้ง 2 วิธีนี้ ควรดูแลควบคู่การรักษาไปพร้อมๆกัน เนื่องจากปัญหาสิวเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย สาเหตุหลักของการเกิดสิวของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไปตามพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันนั่นเองครับ
บทความนี้ หมอได้ทำการรวบรวม วิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง และ วิธีรักษาสิวด้วยเทคนิคทางการแพทย์ ที่จะช่วยลดสิว กู้ผิวให้กลับมาเนียนใส พร้อมทั้งวิธีการป้องกัน ทำยังไงไม่ให้กลับมาเป็นสิวซ้ำๆ ใครที่กำลังสงสัยหรือกังวลใจกับสิวอยู่ ต้องดูนะครับ
สิว (Acne) คืออะไร เกิดจากอะไร
สิว (Acne) คือ ปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย มีลักษณะเป็นตุ่มนูน สีแดง หรือหนอง มักขึ้นบริเวณใบหน้า หน้าอก ไหล่ คอ และหลัง สาเหตุหลักของการเกิดสิวคือความมันบนใบหน้าที่มากเกินไป ร่วมกับการอุดตันของรูขุมขนจากสิ่งสกปรก แบคทีเรีย และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
หากท่านใดอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมอย่างละเอียด สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ >> สิวเกิดจากอะไร <<
วิธีรักษาสิว
วิธีรักษาสิว รวมวิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง และวิธีรักษาสิวด้วยเทคนิคทางการแพทย์ การดูแลรักษาสิวด้วยตัวเองก็สำคัญมากๆเลยครับ หมอแนะนำวิธี ดังนี้
1. การทำความสะอาดผิว และ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ระคายเคืองผิว จะช่วยให้ผิวทนต่อผลข้างเคียงที่เกิดจากยารักษาสิว เช่น ผิวแห้ง แสบ แดง ระคายเคืองผิวหนัง หรือไวต่อแสงแดด แนะนำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และผลิตภัณฑ์ป้องกันแดงแดด หมอมีรายละเอียดแนะนำ ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว : หมอแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง ไม่มีการระคายเคือง ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ไม่อุดตัน ไม่ก่อให้เกิดสิว และไม่ก่อให้เกิดสิว หมอไม่แนะนำให้ใช้สครับนะครับ
- ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งลอก ขอแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์สูตร Water-based ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ไม่อุดตัน และไม่ก่อให้เกิดสิว
- ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด : ควรเลือกครีมกันแดดที่ป้องกันได้ทั้งรังสี UV A และ B ไม่อุดตัน ไม่ก่อให้เกิดสิว ไม่มัน ครีมกันแดดช่วยลดอาการผิวไวต่อแสงจากการใช้ยารักษาสิวและป้องกันการเกิดรอยดำสิวด้วยครับ
2. รักษาสิวด้วยการคุมอาหาร
การเลือกรับปะทานอาหารให้เหมาะสมสำหรับผู้ที่คิดว่าสิวเกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารบางชนิดถูกต้องแล้วครับ อาหารที่ควรงด ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม เนย ช็อคโกแลต ขนมอบ และขนมหวาน แพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้เพราะช่วยลดการเกิดสิว ในอีกทางหนึ่ง
3. การรักษาด้วยการปรับพฤติกรรมตัวเอง
การปรับพฤติกรรมการดูแลผิวจะช่วยทำให้สิวขึ้นใหม่น้อยลงได้ครับ ได้แก่
- หลีกเลี่ยงการบีบ เกา หรือแกะสิว เพราะอาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงได้ และอาจเกิดรอยแผลเป็นได้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ เพื่อลดการปนเปื้อนที่เกิดจากเชื้อโรคหรือฝุ่นละออง ซึ่งอาจทำให้เกิดสิวอักเสบได้
- รักษาผิวหน้าให้สะอาดที่สุด ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละสองครั้ง เช้าและเย็น หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าให้มากที่สุด จะช่วยลดการอุดตันได้ครับ
- สระผมทุกวันถ้าผมมัน
- หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลหรือโทนเนอร์ที่ทำให้ผิวแห้งมาก
- หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน
การดูแลรักษาสิวด้วยตัวเอง อาจใช้เวลานาน บางครั้งเลือกรักษาผิววิธี เสียทั้งตัง และยิ่งไม่เหมาะสมกับสภาพผิวก็อาจจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แย่กว่าเดิมได้ครับ นอกจากการดูแลตัวเองแล้วหมอมีวิธีการรักษาสิว ด้วยเทคนิคทางการแพทย์ ที่ปลอดภัย ให้ผลลัพธ์ที่ดี ชัดเจน ด้วยวิธี ดังนี้ครับ
4. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาสิว
หากการลองรักษาสิวด้วยตัวเองแล้วยังไม่ได้ผล หรือสิวแย่ลงกว่าเดิม หมอขอแนะนำว่าการได้รับคำปรึกษาและการดูแลจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาสิว จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดสิวอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งร่องรอยที่ต้องรักษาต่อไป
5. การกดสิว
การกดสิวสามารถช่วยลดการอุดตัน ซึ่งสิวอุดตันเกิดจากสิ่งสกปรก น้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้วอุดตันรูขุมขน ส่งผลให้เกิดสิวหัวดำและสิวหัวขาว การกดสิวสามารถช่วยกำจัดสิ่งอุดตันเหล่านี้ออกจากรูขุมขน ทำให้สิวแห้งยุบตัวลง และช่วยลดโอกาสที่สิวจะพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบ
อย่างไรก็ตาม การกดสิวจำเป็นต้องทำอย่างถูกวิธี โดยควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี เพราะหากกดสิวไม่ถูกวิธี อาจทำให้สิวอักเสบมากขึ้น เกิดรอยดำ รอยแดง หรือรอยหลุมสิวได้
นอกจากการกดสิวแล้ว การรักษาสิวอย่างมีประสิทธิภาพยังต้องอาศัยวิธีอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การใช้ยาทาหรือกินยารักษาสิว การทำความสะอาดผิวอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดสิว เช่น การรับประทานอาหารมัน หวาน แป้ง การนอนดึก เครียด เป็นต้น
6. การใช้ยารักษาสิวชนิดกิน
– ยาปฏิชีวนะชนิดทาน Antibiotics
ยาปฏิชีวนะชนิดทาน มักใช้รักษาสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง ป้องกันการดื้อยาของแบคทีเรีย C.acnes ซึ่งปัจจุบันมีพบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
สำหรับตัวยาทานที่นิยมใช้ ได้แก่
- Doxycycline หรือ Minocycline เป็นยาปฏิชีวนะอันดับแรกที่แนะนำ มีฤทธิ์ในการต่อสู้กับ C.acnes และลดการอักเสบของสิว
- Erythromycin หรือ Azithromycin เป็นยาทางเลือกที่ 2 และแนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ Doxycycline ได้ เช่น หญิงตั้งครรภ์ เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หรือผู้ที่แพ้ยาด็อกซีไซคลิน เป็นต้น
- ยาอื่นๆ เช่น Cotrimoxazole (TMP/SMX), เพนิซิลลิน และ เซฟาโลสปอริน เป็นยาทางเลือกที่ 3 เมื่อไม่สามารถใช้ยาทางเลือกที่หนึ่งและสองได้จริงๆ
การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาสิว ควรใช้ร่วมกับยาทาอื่นๆ โดยเฉพาะ เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ หรือ เรตินอยด์ เพื่อป้องกันการดื้อยา และต้องรับประทานยากลุ่มนี้อย่างน้อย 6-8 สัปดาห์ เพื่อประเมินว่าเห็นผลหรือไม่ และระยะเวลาในการรับประทานยาต้องอยู่ภายใน 3 เดือน (หากจำเป็นสามารถรับประทานได้นานถึง 6 เดือน) และควรอยู่ในความดูแลของแพทย์นะครับ
– ไอโซเตตริโนอิน Isotretinoin
ยาที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดการเกิดสิวใหม่ ที่ได้ผลลัพธ์เป็นอย่างดี พร้อมมีงานวิจัยรองรับมากที่สุด คือตัวยาในกลุ่มอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ Isotretinoin (13-cis-retinoic acid) ที่ออกฤทธิ์โดยตรงกับสิว ต่อมน้ำมันใต้ผิวหนัง ทำให้ต่อมน้ำมันมีขนาดเล็กลง ผลิตและขับน้ำมันน้อยลง อีกทั้งยังมีฤทธิ์ลดการอุดตันของรูขุมขนโดยตรงอีกด้วย อีกทั้งยังมีผลทางอ้อมในการลดปริมาณแบคทีเรีย C.acnes ที่ทำให้เกิดสิว ลดการอักเสบจึงทำให้สิวใหม่ลดลงอย่างแน่นอน
ยานี้มีประโยชน์มาก แต่ผลข้างเคียงมากมาย จึงควรใช้ในผู้ป่วยที่เป็นสิวรุนแรงมาก และต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ ที่สำคัญสตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้ยานี้ เนื่องจากอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ครับ
7. การใช้ยารักษาสิวชนิดทา
การรักษาสิวด้วยยาทารักษาสิว เป็นวิธีการรักษาสิวโดยต้องกดสิว แต่สามารถใช้ร่วมกับการกดสิวได้เช่นเดียวเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
หมอจะแนะนำการรักษาสิวด้วยยาทา ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการวิจัยว่าสามารถลดการอุดตันของรูขุมขนและสิวอักเสบได้
- Topical Retinoids เรตินอยด์เฉพาะที่เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ
เป็นกลุ่มยาที่ใช้เป็นหลักภายนอกเพื่อรักษารูขุมขนที่อุดตันและมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเกิด Microcomidone ซึ่งเป็นรูขุมขนอุดตันในระยะแรก ช่วยป้องกันไม่ให้รูขุมขนอุดตัน ซึ่งจะทำให้รูขุมขนที่อุดตันก่อนหน้านี้หลวมตัวและหลุดออก ทำให้สิวเก่าหายไปและลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ นอกจากนี้ยานี้อาจช่วยลดการอักเสบของสิวได้
ต้องใช้เวลาในการใช้ยากลุ่มนี้จึงจะเห็นผล และใช้ยาต่อไปอย่างน้อย 2 – 3 เดือน อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้ ยาจะออกฤทธิ์และค่อยๆขับสิวอุดตันในรูขุมขนออกมา หลังจากสัปดาห์ที่ 2 ไปแล้ว บางคนกังวลเรื่องสิวอักเสบที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการขับสิ่งอุดตันรูขุมขนออก บางคนอาจสังเกตเห็นสิวอักเสบเกิดขึ้นหลังจากใช้ยากลุ่มนี้มาระยะหนึ่งแล้ว นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากในกลุ่มนี้หยุดใช้ยานี้ระหว่างทาง
Topical Retinoids ซึ่งเป็นกลุ่มยาเฉพาะที่จากกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ ปัจจุบันมีจำหน่ายอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ได้แก่ เตรติโนอิน (Retin-A3, Retacnil) , ADAPALENE (Differin)
- ยาทากลุ่มเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ Benzoyl Peroxide
เป็นยาเฉพาะที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งยังมีฤทธิ์ทำให้รูขุมขนที่อุดตันหลวมตัวลง อย่างไรก็ตาม มีความอ่อนกว่าอนุพันธ์ของวิตามินเอเฉพาะที่
สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่ายากลุ่มนี้หากโดนเสื้อผ้าสีอาจเป็นด่างได้ หากโดนผมอาจจะทำให้ผมขาวได้ครับ
Benzoylpure สามารถใช้ควบคู่กับ tretinoin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมสิว แต่ควรทาแยกกับ เพื่อลดการระคายเคืองและลดปฏิกิริยาระหว่างตัวยาด้วยครับ
- ยาทากรดอะเซเลอิค Azelaic acid
กรดอะเซเลอิค Azelaic acid ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสิวและยังช่วยละลายรูขุมขนที่อุดตัน และยังช่วยรักษาจุดด่างดำที่เกิดจากสิวอีกด้วย ยานี้อาจทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองในบางคน โดยเฉพาะในช่วง 1 – 2 สัปดาห์แรกของการใช้ และไม่เหมาะกับผู้ที่มีสิวอักเสบ
- ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดทา Topical Antibiotics
Topical Antibiotics ฆ่าเชื้อแบคทีเรียออกฤทธิ์โดยตรงกับแบคทีเรีย C.acnes ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับกลไกการพัฒนาของสิว ยากลุ่มนี้ยังช่วยลดการอักเสบจึงเหมาะสำหรับใช้ในผู้ป่วยที่เป็นสิวอักเสบ
สำหรับยาในกลุ่มนี้พบปัญหาการดื้อยาค่อนข้างบ่อย ดังนั้น แพทย์จึง ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้เพื่อรักษาสิวตัวเดียวอาจไม่เห็นผล ให้ใช้ร่วมกับยารักษาสิวตัวอื่นๆ เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ และควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ยาทากลุ่มกรดซาลิไซลิก Salicylic acid
ยากลุ่มนี้จัดอยู่ในประเภทกรดเบต้าไฮดรอกซีหรือ BHA ซึ่งหลายท่านอาจเคยได้ยิน กรดซาลิไซลิกเป็นส่วนผสมที่พบในครีมและเครื่องสำอางที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์หลายชนิด โดยทั่วไปจะใช้ที่ความเข้มข้น 0.5 ถึง 2% การทำงานของกรดซาลิไซลิกนี้จะขัดผิวและยับยั้งการเกิด comidone อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบอีกด้วย
- ยาทาที่มีส่วนผสมของกำมะถัน Sulfur
กำมะถันมีความสามารถในการละลายคอเมโดน ทำให้ผิวแห้งขึ้นจึงช่วยรักษาปัญหาสิวอุดตันได้เป็นอย่างดี
8. รักษาสิวด้วยฮอร์โมน
ยาฮอร์โมน รวมถึงยาคุมกำเนิด มักใช้รักษาสิว เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มฮอร์โมนเพศหญิง มันออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนซึ่งเป็นสาเหตุของสิว ถือเป็นทางเลือกเฉพาะผู้ป่วยสตรีเท่านั้น ผู้ที่เป็นสิวปานกลางหรือรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาสม่ำเสมอ หรือผู้ป่วยสตรีที่มีความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ อาจมีระดับฮอร์โมนเพศชายสูงผิดปกติ
การรักษานี้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาสิวอื่นๆ เช่น สามารถใช้เป็นทางเลือกในการรักษาสิวในผู้ป่วยสตรีที่ใช้ยารักษาสิวหรือยาปฏิชีวนะแบบรับประทาน
การรักษาสิวด้วยยาคุมกำเนิด จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหากรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน และโดยปกติจะต้องรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลา 6 ถึง 12 เดือนจึงจะเห็นผลเต็มที่
9. รักษาสิวด้วยการบำบัดด้วยแสง
พลังงานของกลุ่มการบำบัดด้วยแสงจะมีลักษณะ คือ แสงที่ปล่อยออกมามีความยาวคลื่นหลายช่วง ไม่จำกัดเฉพาะความยาวคลื่นเฉพาะ แต่อยู่ในช่วงกว้าง เช่น 400-1500 นาโนเมตร เป็นต้น
- เทคโนโลยีนี้คือ IPL Intensed Pulsed Light ซึ่งเป็นพลังงานแสงที่มีความเข้มสูง พลังงานมีทั้งแสงและความร้อนจึงออกฤทธิ์ทั้งสิวและต่อมน้ำมัน อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วย IPL มีข้อจำกัดคือความยาวคลื่นของแสงที่ปล่อยออกมากว้าง (สเปกตรัมกว้าง) ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้พลังงานสูงได้ จึงช้ากว่าพลังงานของกลุ่มเลเซอร์
- โฟโตนิวมาติกเทอราพี Photopneumatic Therapy เป็นการพัฒนามาจาก IPL แบบขยายที่ใช้แรงดันลบเพื่อสร้างการดูด เป็นเครื่องสุญญากาศ (นิวเมติก) ดูดหัวสิวออก จากนั้นบีบสิวและหนองออก จากนั้นฉายแสงในช่วงความยาวคลื่น 400-1200 นาโนเมตร เพื่อส่งความร้อนไปยังต่อมน้ำมันใต้ผิวหนัง และแสงก็ฆ่าซีสิวได้เช่นกัน
- โฟโตไดนามิก เทอราพี Photodynamic Therapy การรักษานี้เป็นส่วนขยายของการบำบัดด้วยแสงเลเซอร์ความเข้มต่ำ ซึ่งหมายความว่าแพทย์ของคุณจะใช้ยาก่อนที่บำบัดด้วยแสง จะทาตัวยา 5-Aminolaevulinic acid (5-ALA) ทั่วใบหน้าเป็นครั้งแรกเป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นจึงฉายรังสี เมื่อใช้ยาที่เรียกว่า 5-ALA จะสะสมอยู่ในต่อมน้ำมันใต้ผิวหนัง เมื่อฉายแสง แสงจะกระทบต่อต่อมน้ำมันโดยตรง
10. การรักษาสิวด้วยเลเซอร์สิว
เลเซอร์เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแสงในช่วงความยาวคลื่นเฉพาะเพื่อรักษาปัญหาผิวต่างๆ พลังงานที่ใช้ในเลเซอร์รูปแบบเหล่านี้ สามารถนำมาใช้รักษาปัญหาผิวต่างๆได้ ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า กลุ่มเลเซอร์มีเทคโนโลยีที่น่าสนใจหลายประเภท ได้แก่
- การรักษาด้วยเลเซอร์ระดับต่ำ
วิธีนี้ใช้ระดับพลังงานต่ำในการยิงแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะอย่างต่อเนื่องที่ผิวหน้าหรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายในระยะเวลาค่อนข้างนาน เช่น 15 ถึง 30 นาที
ผ่านการวิจัยพบว่าช่วงความยาวคลื่นต่อไปนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาสิว ที่ความยาวคลื่นของแสงสีน้ำเงินอยู่ที่ 415 นาโนเมตร และความยาวคลื่นของแสงสีแดงคือ 633 นาโนเมตร และสามารถใช้ได้โดยใช้แสงสีเดียวหรือรวมกัน ด้วยการใช้แสงเลเซอร์ทั้งสองความยาวคลื่นนี้ จะส่งผลยับยั้งแบคทีเรีย C.acnes เป็นอย่างดี
แสงสีน้ำเงินมีข้อดีคือสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดีกว่า แต่มีข้อเสียคือไม่ทะลุผิวหนังได้ลึกเท่ากับแสงสีแดง ดังนั้นเมื่อใช้ร่วมกันลักษณะและข้อดีของความยาวคลื่นทั้งสองจะได้รับผลกระทบ
- เลเซอร์แสงสีเหลือง การศึกษาพบว่าแสงในช่วงความยาวคลื่นสีเหลืองจากเทคโนโลยีเลเซอร์เครื่องต่างๆ เช่น ความยาวคลื่น 577, 578 และ 595 นาโนเมตร ช่วยรักษาสิวได้ แสงกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโดยตรงกับแบคทีเรีย C.acnes
- เลเซอร์แสงสีเขียว แสงที่มีความยาวคลื่นสีเขียว 532 นาโนเมตร ที่เป็น long pulsed การศึกษาพบว่ายังมีประโยชน์ในการรักษาสิวอีกด้วย ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่ต่อต้านแบคทีเรีย เมื่อเทียบกับเลเซอร์แสงสีเหลือง เลเซอร์สีเขียวมีประสิทธิภาพน้อยกว่าและไม่เป็นเป็นที่นิยม
- เลเซอร์อินฟราเรด มีการศึกษาแสง long pulsed ในช่วงความยาวคลื่นอินฟราเรด 1,064 ช่วยรักษาสิว โดยออกฤทธิ์ที่ต่อมน้ำมันใต้ผิวหนังและแบคทีเรีย C.acnes
รักษาสิวที่เอ็มวีต้าคลินิก
รักษาสิว ที่มา แนวคิด โปรแกรมรักษาสิว ของ เอ็มวีต้าคลินิก
- ลดการขับน้ำมันของต่อมน้ำมัน ด้วยสูตรตัวยาที่ผ่านงานวิจัยรับรองผลที่ทาง เอ็มวีต้าคลินิก เลือกใช้ จะทำให้ผิวขับน้ำมันน้อยลงอย่างชัดเจน ภายใน 4 สัปดาห์
- ลดการอุดตันของรูขุมขน ด้วยตัวยาประสิทธิภาพสูงของ เอ็มวีต้าคลินิก และร่วมกับเทคนิคพิเศษของการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญที่ละเอียดเป็นพิเศษไม่เหมือนที่อื่น สิวอุดตันจะลดลงตั้งแต่ครั้งแรกของการรักษาและจะดียิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ลดจำนวนแบคทีเรียที่ผิวและในรูขุมขน ด้วยตัวยาและวิธีการฆ่าเชื้อสิวด้วยการฉายแสง ที่ได้ผลดีและผ่านงานวิจัยในผลลัพธ์ สามารถลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียลงได้ สิวจึงเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก
- ลดและป้องกันการอักเสบของสิว จากทั้งตัวยา การฉายแสง การฉีดสิว และการทำ Acne Spark เทคนิคเฉพาะของ เอ็มวีต้าคลินิก ให้สิวยุบลงภายใน 24 ชม หลังทรีตเม้นท์
รักษาสิว โปรแกรมกดสิว ทรีทเมนท์รักษาสิว ACNICLEAR
AcniClear เป็นคอร์สรักษาสิว 5 ขั้นตอนที่ออกแบบโดยหมอเอ็มเพื่อให้เหมาะกับแนวคิดการรักษาสิว หากต้องการจัดการปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุของสิวจริงๆ โปรแกรมนี้จะช่วยเคลียร์สิว และรักษาสิวอุดตัน แต่อาจไม่ตอบโจทย์ผู้ที่เป็นสิวรุนแรง บวม แดง และสิวอักเสบ ด้วยคอร์สรักษาสิวและเลเซอร์รอยสิวครบสูตร โปรแกรม Medi-Aclear จะเห็นผลดีขึ้นตั้งแต่การรักษาครั้งแรก และจะได้ผลลัพธ์ที่ดีหากเข้ารักษาอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์
เลเซอร์รักษาสิว โปรแกรม Lumac-Clear
Lumac-Clear รักษาสิว เลเซอร์รักษาสิว เป็นการรักษาสิวโดยไม่ต้องใช้ไอโซเตรติโนอิน ทดแทนด้วยเลเซอร์รักษาสิวและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยการลดการทำงานของต่อมไขมันด้วย เลเซอร์ Long Pulse Diode Laser 1450nm ตัดต้นต่อสาเหตุการเป็นสิว โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับการรักษาสิวด้วยยาไอโซเตรติโนอิน เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ สตรีมีครรภ์ และวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ยังมีการเจริญเติบโตของร่างกาย แต่โปรแกรมนี้ไม่รวมเลเซอร์ลดการอักเสบของสิว หากต้องการรักษาสิว เลเซอร์รักษาสิว เลเซอร์รักษารอยสิว แบบครบสูตร ขอแนะนำโปรแกรม Ultima-Clear ครับ
สามารถดูรายละเอียด คอร์สรักษาสิว เพิ่มเติมได้ที่ >> คอร์สรักษาสิว <<
คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับรักษาสิว ( Q & A )
Q : รักษาสิวด้วยตัวเองได้ไหม ?
โดยทั่วไปแล้ว การรักษาสิวด้วยตัวเองสามารถทำได้ แต่ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว หากเป็นสิวเพียงเล็กน้อย เช่น สิวอุดตัน สิวผด สิวอักเสบแบบมีหัว ก็สามารถรักษาด้วยตัวเองได้ โดยการดูแลรักษาผิวหน้าอย่างถูกวิธี เช่น การทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่อ่อนโยนต่อผิว หลีกเลี่ยงการบีบหรือกดสิว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากเป็นสิวที่รุนแรง เช่น สิวอักเสบแบบไม่มีหัว สิวอักเสบแบบมีหัวขนาดใหญ่ สิวหนอง สิวหัวช้าง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม
Q : ทำยังไงให้สิวหายเร็วๆ ?
การทำให้สิวหายเร็วๆ สามารถทำได้โดยการดูแลรักษาผิวหน้าอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง นอกจากการดูแลรักษาผิวหน้าแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการเกิดสิว เช่น ฮอร์โมน ความเครียด การนอนไม่เพียงพอ กรรมพันธุ์ เป็นต้น หากพบว่ามีปัจจัยเหล่านี้ร่วมด้วย ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดสิว
Q : เป็นสิวแต่งหน้าได้ไหม ?
ได้ แต่ควรเลือกเครื่องสำอางที่เหมาะสำหรับคนเป็นสิว และทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดทุกครั้งหลังแต่งหน้า เครื่องสำอางบางชนิดอาจก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว ดังนั้น คนเป็นสิวจึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซิลิโคน และสารกันเสียบางชนิด เช่น พาราเบน ฟอร์มาลดีไฮด์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรเลือกเครื่องสำอางที่มีเนื้อบางเบา ไม่เป็นคราบ ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และสามารถล้างออกได้ง่ายด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน
Q : กินช็อกโกแลตทำให้สิวขึ้นจริงหรือไม่ ?
จากการศึกษาวิจัยพบว่า ช็อกโกแลตอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดสิว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร เป็นไปได้ว่าเกิดจากน้ำตาลหรือไขมันที่อยู่ในช็อกโกแลต ซึ่งอาจกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำมันบนใบหน้ามากขึ้น และทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว นอกจากนี้ ช็อกโกแลตอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้นได้
สรุปเรื่อง รักษาสิว
การรักษาสิวสามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือด้วยเทคนิคทางการแพทย์ ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของสิว หากเป็นสิวเล็กน้อย สามารถรักษาด้วยวิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง เช่น ล้างหน้าให้สะอาด หลีกเลี่ยงการแคะ แกะ หรือบีบสิว ทายาแต้มสิว แต่ถ้าเป็นสิวปานกลางถึงรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่