สวัสดีครับ หมอชื่อหมอเอ็ม หรือ นพ. มนตรี อุดมประเสริฐกุล เป็นแพทย์ประจำเอ็มวีต้าคลินิกนะครับ
คุณเคยประสบปัญหาเหล่านี้หรือไม่ครับ เช่น ผิวดูโทรม ไม่สดใส แต่งหน้าทาแป้งไม่ค่อยติด ระหว่างวันต้องคอยเติมแป้งบ่อยๆ ผิวระคายเคืองง่าย ไม่เรียบเนียน…. ปัญหาเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอาการของผิวขาดน้ำครับ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาจนมีตัวช่วยที่เห็นผลไวและชัดเจน สามารถเติมน้ำให้ผิวอย่างรวดเร็ว และปรับผิวให้ดูสดใสขึ้นรวดเร็ว นั่นก็คือ สกินบูสเตอร์ Skinbooster หรือการบำรุงผิวเร่งด่วนด้วย HA บูสท์ผิวนั่นเองครับ ซึ่งมีตัวเลือกอยู่หลายแบรนด์ครับ ได้แก่ Restylane Vital Light และ Restylane Vital, Juvederm Volite, และ Belotero soft ซึ่งบทความนี้จะให้รายละเอียดเพื่อตอบคำถามสำหรับท่านที่กำลังสนใจการรักษาผิวด้วยเทคโนโลยีนี้นะครับ
ปัญหาผิวขาดน้ำ
ปัญหาผิวขาดน้ำ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากๆ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่สภาพแวดล้อมรอบตัวเรา มีมลภาวะต่างๆ ที่ทำร้ายผิว ทั้งฝุ่นควัน แสงแดด สารเคมีต่างๆ โดยเฉพาะในโซนเมืองใหญ่ต่างๆ ครับ
ปกติแล้ว ผิวของเราจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ในเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างสูง โดยประมาณแล้วผิวของเราจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 15% ของน้ำหนักตัวทั้งหมดเลยทีเดียวครับ ซึ่ง 70% ของปริมาณน้ำตรงนี้จะอยู่ในชั้นหนังแท้(Dermis) โดยจะเป็นส่วนประกอบในเซลล์ และพบอยู่ในส่วนของเนื้อเยื่อระหว่างเซลล์ ปนรวมกับสารคอลลาเจน อีลาสติน และสารอื่นๆเช่นกรดไฮยาลูรอนิก เป็นต้น น้ำจะมีหน้าที่ทำให้ผิวของเรามีความเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น และมีความยืดหยุ่น ผิวที่อิ่มน้ำจะดูเปล่งปลั่งสดใส ดูโกลว์ มีสุขภาพดี และน้ำในชั้นหนังกำพร้ายังช่วยเสริมให้ผิวเรามีเกราะป้องกันที่แข็งแรง ทำให้ผิวไม่แพ้ง่ายด้วยครับ
Skinbooster บำรุงผิวเร่งด่วนด้วย HA บูสท์ผิว
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า น้ำในผิว 70% อยู่ในชั้นหนังแท้ และอยู่ในสารระหว่างเซลล์ ดังนั้นกรณีที่ผิวขาดน้ำมากๆ ทางแก้ที่เห็นผลไวที่สุดก็คือการเติมสารระหว่างเซลลที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำเข้าสู่ชั้นหนังแท้นั่นเองครับ
สารที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุดในการเติมคือ HA หรือกรดไฮยาลูรอนิกครับ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ ได้ดีถึง 1000 เท่าของน้ำหนักโมเลกุล และมีความปลอดภัยในการฉีด ไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองครับ
ปัจจุบันมีแบรนด์ใหญ่ๆในวงการผลิตภัณฑ์สำหรับแพทย์ผิวหนังหลายแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ Skinbooster ออกมาครับ โดยแต่ละผลิตภัณฑ์มักจะเป็นเจลน้ำหนักเบาที่มีกรดไฮยาลูโรนิกซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในผิวหนังเป็นส่วนผสม ซึ่งการฉีดผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ในระดับตื้นๆเข้าสู่ชั้นหนังแท้จะให้ความชุ่มชื้นยาวนานและประโยชน์อื่น ๆ ที่จะกล่าวต่อไปครับ
- สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) มีประโยชน์อย่างไร
- สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ปลอดภัยหรือไม่?
- สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ได้ผลมากน้อยแค่ไหน?
- หลังรับการรักษาด้วย สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะเริ่มเห็นผล?
- สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ทำงานอย่างไร?
- สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) จัดเป็นฟิลเลอร์หรือไม่?
- สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) มีแบรนด์อะไรบ้าง?
- สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ของ เอ็มวีต้าคลินิก ใช้เป็นตัวไหน?
- หลังฉีด สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ผลที่ได้คงอยู่ได้นานเพียงใด?
- การฉีดสกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ใช้เวลานานเท่าไหร่?
- การฉีดสกินบูสเตอร์ (Skinbooster) เจ็บหรือไม่?
- หลังฉีดสกินบูสเตอร์ (Skinbooster) จะเห็นผลเมื่อไหร่?
- หากเพิ่งทำโบท็อกหรือฟิลเลอร์มาก่อน สามารถรับการฉีดสกินบูสเตอร์ได้หรือไม่?
- หลังฉีดสกินบูสเตอร์ (Skinbooster) สามารถทำเลเซอร์หรือทำพวก RF ได้หรือไม่?
สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) มีประโยชน์อย่างไร
ลองนึกภาพว่าคุณสามารถวางครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้นได้นานเป็นเดือนๆที่ผิวหนังชั้นลึกของคุณ เพื่อให้ผิวของคุณฉ่ำน้ำและดูสดใสขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน นั่นล่ะครับคือสิ่งที่สกินบูสเตอร์ทำ ความชุ่มชื้นที่เพิ่มขึ้นนี้มีผลต่อการยกกระชับผิวและช่วยให้ผิวดูมีสุขภาพดีและสดชื่นขึ้น ซึ่งหมอขอสรุปประโยชน์เป็นข้อๆไว้ดังนี้ครับ
- ให้ความชุ่มชื้น เติมน้ำให้ผิว ซึ่งเหมาะมากสำหรับท่านที่ผิวขาดน้ำ อ่อนล้า ดูโทรม ทาแป้งแต่งหน้าไม่ค่อยติดครับ
- ช่วยปรับผิวให้เรียบเนียน ฉ่ำวาว ดูโกลว์สไตล์เกาหลี ทำให้รูขุมขนดูกระชับ เหมาะกับท่านที่รูขุมขนค่อนข้างกว้าง ผิวหมองๆครับ
- ปรับผิวบริเวณคอให้เรียบเนียน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับท่านที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณคอ ผิวที่คอเหี่ยวย่น ไม่เรียบเนียน หรือมีเส้นขวางที่เกิดจากการก้มคอ
- สำหรับผลิตภัณฑ์บางตัวจะมีสารที่ช่วยซ่อมแซมผิว กระตุ้นการสร้างผิวใหม่ ร่วมกับผลการเติมเต็มจาก HA จะเหมาะสำหรับท่านที่มีปัญหาหลุมสิว สามารถช่วยเติมให้เต็มได้ด้วยครับ
สิ่งที่คนส่วนใหญ่สังเกตเห็นหลังจากการรักษาด้วยสกินบูสเตอร์คือ พวกเขาจะรู้สึกว่าผิวดูชุ่มชื้นขึ้นมาก ซึ่งแม้ว่าการรักษาแบบนี้จะค่อนข้างมีราคาสูง แต่มันก็ให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แทบทุกคนที่ได้ทำสกินบูสเตอร์ที่หมอเจอต่างพึงพอใจกับผลของสกินบูสเตอร์ที่ทำไปมากครับ
สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ปลอดภัยหรือไม่?
ปลอดภัยมากๆครับ การรักษาด้วยสกินบูสเตอร์ ( Skinbooster) บางแบรนด์ เช่น Restylane Vital Light มีมานานกว่า 15 ปีแล้วครับ และยังไม่มีรายงานถึงผลข้างเคียงหรืออันตรายใดๆที่ร้ายแรงเลยครับ ที่อาจจะมีพบบ้างก็เพียงแค่รอยแดงหรือรอยเข็มที่อาจจะเป็นอยู่แค่ประมาณ 1-4 วัน และจะค่อยจางหายไปเท่านั้นเองครับ
สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ได้ผลมากน้อยแค่ไหน?
แน่นอนครับ สกินบูสเตอร์ ( Skinbooster) ได้ผลดีมาก หลังฉีดผิวของคุณจะชุ่มชื้น สุขภาพดีขึ้นและจะเรียบเนียนขึ้นอย่างชัดเจนครับ
หลังรับการรักษาด้วย สกินบูสเตอร์ ( Skinbooster) ใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะเริ่มเห็นผล?
ปกติแล้วหลังรับการรักษาด้วยสกินบูสเตอร์ ( Skinbooster) คำแนะนำจากแบรนด์ต่างๆ มักจะการันตีผลลัพธ์ที่ประมาณ 8 สัปดาห์หลังทำครับ แต่จากประสบการณ์ของหมอเองพบว่าคนไข้ส่วนใหญ่ช่วงหลังทำประมาณ 4-5 สัปดาห์ ก็เริ่มเห็นผลแล้วครับ
สกินบูสเตอร์ ( Skinbooster) ทำงานอย่างไร?
หมอจะทำการ”สะกิด” สกินบูสเตอร์เข้าสู่ผิวในชั้นหนังแท้ด้วยอุปกรณ์ช่วยฉีดแบบพิเศษ ที่จะช้ำน้อยมาก และปรับระดับความลึกได้จึงมีความแม่นยำสูงมากครับ เมื่อทำการวางตัวยาลงในชั้นหนังแท้แล้ว สกินบูสเตอร์จะยังคงอยู่ในผิวหนังประมาณ 30 วัน (ขึ้นอยู่กับแบรนด์ที่ใช้ด้วยครับ) ในช่วงเวลาดังกล่าวโมเลกุลของกรดไฮยาลูโรนิคในเจลจะดึงดูดและกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวหนัง ความชุ่มชื้นจากปริมาณน้ำที่กักเก็บเพิ่มขึ้นร่วมกับสารไฮยาลูรอนิกที่หมอเติมเข้าไปนี้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ภายในผิวหนังซึ่งจะทำให้ผิวค่อยๆกระชับและเด้งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถึงแม้ว่าเจลดั้งเดิมที่เติมเข้าไป จะอยู่ได้ไม่เกิน 30 วันในผิวหนัง แต่ผลที่ได้จากการเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินนั้นจะมีอยู่นานหลายเดือนตามแต่ละแบรนด์ซึ่งจะกล่าวต่อไปครับ
สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) จัดเป็นฟิลเลอร์หรือไม่?
สกินบูสเตอร์ช่วยเติมน้ำให้ผิว ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัตินี้มีบางตัวที่เป็นฟิลเลอร์และบางตัวก็ไม่ใช่ครับ ซึ่งขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์นั้นๆด้วยครับ
ผลิตภัณฑ์ที่เป็นฟิลเลอร์ได้แก่ Restylane vital light, Juvederm volite, Belotero soft
ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ฟิลเลอร์ได้แก่ Dermacare, Cytocare เป็นต้นครับ
สำหรับที่เอ็มวีต้าคลินิก หมอจะค่อนข้างเน้นใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่เป็นฟิลเลอร์มากกว่าครับ เพราะด้วยผลการรักษาที่อยู่ได้ค่อนข้างนานกว่า ไม่ต้องคอยฉีดบ่อยๆด้วยครับ
สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) มีแบรนด์อะไรบ้าง?
ในส่วนนี้เราจะมาดูกันว่า สกินบูสเตอร์ แบรนด์ต่างๆ ที่ได้มาตรฐานและผ่านการรับรองจาก อย ไทยแล้ว มีแบรนด์ใดบ้าง และมีคุณสมบัติอย่างไรนะครับ
Restylane Vital Light และ Restylane Vital
สำหรับตัวนี้จัดได้ว่าเป็น Skinboosters ตัวออริจินอลเลยครับ เนื่องจากเป็นสกินบูสเตอร์ตัวแรกของโลกที่มีการนำมาใช้เติมน้ำให้ผิวนั่นเอง Restylane vital light และ Restylane Vital เป็น NASHA Gel ที่มีขนาดของโมเลกุลที่เล็กมาก และมีความอุ้มน้ำสูง ซึ่งตัวนี้จะมีปริมาณ 12 และ 20 มก./1 ซีซี ก็คือต่อหนึ่งกล่องตามลำดับครับ นอกจากนี้ ตัวสกินบูสเตอร์ ทั้ง 2 ตัว ของแบรนด์ restylane นี้ ยังมีเทคโนโลยีพิเศษ ในการฉีดตัวยา ที่เรียกว่า Smart Click ทำให้หมอสามารถฉีดปริมาณของไฮยาลูรอนิค เท่าๆกันในทุกๆจุดด้วยครับ จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ สมูธ เรียบเนียนเท่ากันทั่วใบหน้าครับ ด้วยความที่ Restylane vital และ vital light เป็นสกินบูสเตอร์ตัวแรกของโลก ก็ค่อนข้างมีงานวิจัยรับรองเยอะครับ ในแง่ของการช่วยเติมน้ำให้ผิว และยังมีวิจัยรับรองเรื่องของการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวด้วยครับ
Juvederm Volite
ตัวนี้เป็นนวัตกรรมใหม่ ข้อดีของ Volite คือเป็นไฮยาลูรอนิกที่เชื่อมต่อโมเลกุลด้วยเทคโนโลยี Vycross คือนำห่วงโซ่ไฮยาลูโรนิกชนิดสั้นและชนิดยาวมาเชื่อมโยงข้ามกัน ปรับแต่งเนื้อเจลให้คงตัวเป็นเนื้อเจลที่มีเนื้อเดียวกัน โดยมีปริมาณไฮยาลูรอนิกอยู่ที่ 12 มก./1 ซีซี ครับผม Volite เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีงานวิจัยรับรองในเรื่องการเติมน้ำให้ผิว เพิ่มความเรียบเนียน และความยืดหยุ่นให้ผิวด้วยครับ
Belotero soft
ไฮยาลูรอนิกสูตร Soft ของ Belotero ที่ใช้เทคโนโลยี CPM : Cohesive Polydensified Matrix สร้างความยืดหยุ่นให้เนื้อผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถปรับรวมเข้ากับผิวได้เป็นอย่างดีครับ ดังนั้นตัวนี้จะให้ความสมูธกลืนไปกับผิวดีมากครับ ตัวนี้จะปรับผิวให้โกลว์ ฉ่ำน้ำ รูขุมขนกระชับ และดูอ่อนเยาว์ครับ ซึ่งสำหรับ Belotero soft จะมีปริมาณไฮยาลูรอนิกอยู่ 20 มก./1 ซีซีครับ
สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ของ เอ็มวีต้าคลินิก ใช้เป็นตัวไหน?
สำหรับที่เอ็มวีต้าคลินิก หมอเลือกใช้ Restylane vital และ Restylane vital light เป็นสกินบูสเตอร์หลักในการเติมน้ำให้กับผิว เพราะด้วยความเป็นสกินบูสเตอร์ตัวแรกของโลก ที่มีมานานถึง 15 ปี มีงานวิจัยที่รับรองค่อนข้างเยอะ และด้วยคุณสมบัติ ที่สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มความเรียบเนียน และความยืดหยุ่นให้กับผิวได้อีกด้วย (ซึ่งตรงนี้อ้างอิงจากงานวิจัย ที่ประเมินถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของคุณภาพผิว) สำหรับที่ เอ็มวีต้าคลินิก หมอจะมีสองโปรแกรม ที่จะตอบโจทย์เรื่องผิวขาดน้ำให้เลือก ดังนี้ครับ
- M Vita Skinhydrator เติมน้ำให้ผิวด้วยคอกเทลที่มี Restylane vital หรือ Restylane vital light ผสมกับวิตามินและโกรธแฟคเตอร์และสารสกัด PDRN ซึ่งเป็นสารระดับโมเลกุล DNA ที่จะช่วยเสริมการซ่อมแซมผิวอีกด้วย
โปรแกรมนี้เหมาะกับ : ท่านที่มีปัญหาผิวขาดน้ำปานกลาง และต้องการความใส ฉ่ำวาว รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียน ดูโกลว์ครับ
- M Vita Skinbooster เติมน้ำให้ผิวด้วย Restylane vital แบบเข้มข้นสูงสุด และตามด้วยวิตามิน โกรธแฟคเตอร์กับ PDRN ที่เข้มข้น เพื่อบูสท์ผิวให้อิ่มน้ำและซ่อมบำรุงผิวขั้นสุด
โปรแกรมนี้เหมาะกับ : ท่านที่มีปัญหาผิวขาดน้ำรุนแรง หรือผิวมีริ้วเล็กๆค่อนข้างมาก ผิวหมองหรือค่อนข้างสูญเสียความยืดหยุ่นมาก ต้องการฟื้นฟูผิวให้เปล่งปลั่ง ริ้วรอยต่างๆหายไปอย่างรวดเร็วครับ
หลังฉีด สกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ผลที่ได้คงอยู่ได้นานเพียงใด?
สำหรับระยะเวลาในการเห็นผลของ Skin Booster แต่ละตัว จะไม่เท่ากันครับ โดยจากงานวิจัยพบว่า Restylane vital และ Restylane vital Light หลังจากที่ฉีด 2 ครั้ง ด้วยครั้งแรกฉีด 2 cc และครั้งที่ 2 ฉีด 1 ซีซี ในระยะเวลาห่างกัน 1 เดือน พบว่าผลลัพธ์ จะคงอยู่ได้ถึงประมาณ 12 เดือนครับ ส่วน Juvederm volite หลังรับบริการ 1 ครั้ง โดยฉีด ปริมาณประมาณ 3 ซีซี พบว่าผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 9 เดือนครับ ส่วน Belotero soft แนะนำให้ฉีดประมาณ 2 cc ให้ผลยาวนานถึง 6 เดือนครับ สำหรับโปรแกรมสูตรเฉพาะของเอ็มวีต้าคลินิก 2 โปรแกรมนั้น ระยะเวลาของผลลัพธ์มีรายละเอียดดังนี้ครับ
- M Vita Skinhydrator แนะนำให้ทำทุกสองสัปดาห์ 3 ครั้ง ผลลัพธ์คงอยู่ได้ 2-3 เดือนครับ หรือหากต้องการบำรุงต่อเนื่อง สามารถทำทุกสองสัปดาห์ 3 ครั้ง จากนั้นเมนเทนประมาณเดือนละครั้งได้เรื่อยๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นครับ
- M Vita Skinbooster แนะนำให้ทำ 2 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน โดยทำครั้งแรกด้วย Restylane vital 2 cc ครั้งที่สองอาจทำ 1-2 cc ก็ได้ครับ ขึ้นกับสภาพผิวและต้องการบำรุงมากน้อยเพียงใดครับ ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ 6-12 เดือนครับ หากต้องการบำรุงต่อเนื่อง สามารถทำช่วงแรก 2 ครั้งห่างกัน 1 เดือนตามนี้ จากนั้นเมนเทนต่อประมาณทุกๆ 6 เดือนได้เรื่อยๆ จะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งๆขึ้นไปอีกครับ
การฉีดสกินบูสเตอร์ (Skinbooster) ใช้เวลานานเท่าไหร่?
โดยทั่วไปทรีตเมนท์ในกลุ่มสกินบูสเตอร์ หมอจะทำการฉีดให้ทั่วหน้า ก็จะใช้เวลาโดยประมาณอยู่ที่ 20-30 นาทีครับ ส่วนสำหรับโปรแกรมของที่เอ็มวีต้าคลินิก จะใช้เวลาดังนี้ครับ
- M Vita Skinhydrator ใช้เวลาทำประมาณ 20-30 นาทีครับ
- M Vita Skinbooster ใช้เวลาทำประมาณ 30-40 นาทีครับ
การฉีดสกินบูสเตอร์ (Skinbooster) เจ็บหรือไม่?
สำหรับการฉีดสกินบูสเตอร์โดยทั่วไปจะเป็นการฉีดที่ระดับผิวชั้นตื้น ดังนั้นความเจ็บไม่ค่อยเยอะมากครับ ปกติแล้วเพียงแค่ทายาชาล่วงหน้าซัก 30 นาทีก็สามารถช่วยให้ขั้นตอนการทำค่อนข้างที่จะสบายมากๆครับ อีกทั้งในตัวยาที่ใช้ในการรักษา จะมีส่วนผสมของยาชาอยู่ ก็จะช่วยให้การฉีดเป็นไปได้อย่างสบายมากขึ้นอีกด้วยครับ
หลังฉีดสกินบูสเตอร์ (Skinbooster) จะเห็นผลเมื่อไหร่?
ระยะเวลาในการเห็นผลในแต่ละท่านอาจจะไม่เท่ากันครับขึ้นอยู่กับสภาพผิวเดิมและปัญหาที่มี แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว หลังฉีดสกินบูสเตอร์ คนไข้จะเริ่มสังเกตเห็นผล ที่ประมาณ 4-6 สัปดาห์ครับ ส่วนสำหรับโปรแกรมที่เอ็มวีต้าคลินิก ทั้ง 2 โปรแกรมอาจมีระยะเวลาในการเริ่มสังเกตเห็นผลไม่เท่ากันดังนี้ครับ
- M Vita Skinhydrator จะเริ่มเห็นผล หลังจากทำ ไปแล้วประมาณ 1-2 สัปดาห์ครับ
- M Vita Skinbooster จะเริ่มสังเกตเห็นผลหลังจากที่ได้ทำไปแล้วประมาณ 2-4 สัปดาห์ครับ
หากเพิ่งทำโบท็อกหรือฟิลเลอร์มาก่อน สามารถรับการฉีดสกินบูสเตอร์ได้หรือไม่?
สามารถทำได้ครับ และยิ่งกว่านั้น ตัวสกินบูสเตอร์ จะช่วยเสริมผลการรักษาของโบท็อก และฟิลเลอร์ ให้ดียิ่งขึ้นไปอีกได้ด้วย เนื่องจากเป็นการปรับผิวชั้นบนให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้นครับ
หลังฉีดสกินบูสเตอร์ (Skinbooster) สามารถทำเลเซอร์หรือทำพวก RF ได้หรือไม่?
ปกติแล้วหลังฉีดสกินบูสเตอร์ ตัวยาจะอยู่ในผิวชั้นหนังแท้ ซึ่งค่อนข้างตื้นพอสมควร และสารไฮยาลูโรนิค ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของ Skin Booster นั้น ค่อนข้างไวต่อความร้อน ดังนั้นจึงแนะนำว่าหลังฉีดควรเว้นอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะเริ่มทำเลเซอร์หรือทำ RF ครับ แต่หากว่าคนไข้ต้องการที่จะทำเลเซอร์และสกินบูสเตอร์ในวันเดียวกัน แบบนี้สามารถทำได้ครับ โดยให้ทำเลเซอร์หรือ RF ให้เรียบร้อยก่อนจากนั้นจึงตามด้วยการฉีดสกินบูสเตอร์ ถ้าทำตามขั้นตอนแบบนี้แล้ว ความร้อนจากตัวเลเซอร์หรือ RF ก็จะลงสู่ผิวที่ยังไม่มีสกินบูสเตอร์ก่อน หลังจากที่ทำเลเซอร์หรือ RF เรียบร้อยแล้ว เมื่อฉีดสกินบูสเตอร์ต่อ ความร้อนในชั้นผิวจะไม่มีผลกระทบต่อ Skin Booster ครับ