สิวซีสต์เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่คนไข้เข้ามาปรึกษาหมอบ่อยมาก เนื่องจากสิวดังกล่าวเป็นสิวที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิวอักเสบทั่วไป ทำให้คนไข้บางรายกดสิวอักเสบไม่มีหัวออกเอง เพราะเข้าใจว่าเป็นสิวอักเสบธรรมดา แค่กดหนองออก สิวก็จะยุบและหายเองได้ ทว่าในทางการแพทย์แล้วสิวซีสต์ถือเป็นปัญหาสิวที่ไม่ควรรักษาเอง จึงควรปรึกษาหมอเฉพาะทาง เพื่อรับการรักษาตามกระบวนการแพทย์ที่เหมาะสม เพราะเหตุผลใดนั้น? คนไข้สามารถหาคำตอบได้ที่นี่เลย
สิวซีสต์คืออะไร
สิวซีสต์ (Cystic Acne) เป็นสิวชนิดหนึ่งที่มีความรุนแรงมากที่สุด โดยมีลักษณะเป็นตุ่มหรือก้อนนูนแดงขนาดใหญ่ มักขึ้นที่บริเวณใบหน้า แต่อาจพบได้ที่บริเวณอื่น เช่น หน้าอก และแผ่นหลังก็ได้เช่นกัน ซึ่งสิวซีสต์จะเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนบวกกับการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบลึกถึงชั้นหนังแท้ ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บ ปวด และอาจทิ้งรอยแผลเป็นหลังจากสิวยุบตัวลง
หากคนไข้ที่เป็นสิวซีสต์ไม่เข้ารับการรักษาตามกระบวนการแพทย์ที่เหมาะสม ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อแบคทีเรียลุกลาม และทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนเกิดหนองด้านในและกัดกินเนื้อใต้ผิวหนัง เสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นและหลุมสิวเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นอีกเหตุผลที่คนไข้สิวซีสต์ ควรปรึกษาหมอเพื่อทำการรักษาสิวอย่างถูกวิธีนั่นเอง
ลักษณะของสิวซีสต์
สิวซีสต์ที่หมอได้กล่าวไปข้างต้น เป็นสิวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ขั้นรุนแรง และคนไข้บางรายไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิวที่เกิดขึ้นเป็น “สิวอักเสบทั่วไป” หรือ “สิวซีสต์” ซึ่งจริง ๆ แล้วจะมีข้อสังเกตง่าย ๆ 4 ลักษณะ ดังนี้
- หัวสิวมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ร่วมกับบริเวณรอบหัวสิวจะมีผิวอักเสบบวมแดง และรู้สึกปวดตลอดเวลา
- ผิวหนังอักเสบระดับลึก สิวซีสต์เป็นสิวอักเสบรุนแรงและทำร้ายผิวลงลึกถึงใต้ผิวหนังชั้น Dermis ทำให้มีอาการปวดและรักษาได้ยากมาก
- ภายในมีหนอง: บางครั้งสิวซีสต์ก็อาจมีหนองสะสมอยู่ภายในสิวร่วมด้วย
- มักเกิดขึ้นที่ใบหน้า: แม้ว่าจะพบได้ที่บริเวณอื่น เช่น หน้าอก หรือหลัง แต่ก็มักพบที่ใบหน้าบ่อยที่สุด
- ทิ้งรอยแผลเป็น: เมื่อสิวยุบตัวลง อาจทิ้งรอยแผลเป็นเป็นหลุมสิว หรือรอยแดง รอยดำได้
สิวซีสต์เกิดจากอะไร
สำหรับคนไข้ที่สงสัยว่าสิวซีสต์เกิดจากสาเหตุใด? จริง ๆ แล้วสามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุด้วยกัน แต่สาเหตุหลักที่พบบ่อย มีดังนี้
- เป็นคนผิวมัน
คนไข้ที่มีผิวมัน ต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมาปริมาณมาก ซึ่งน้ำมันส่วนเกินเหล่านี้ก็ถือเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของเชื้อก่อสิว จึงส่งผลให้เชื้อแบคทีเรีย Propionibacteria Acnes เจริญเติบโตได้ดีมากยิ่งขึ้น และเกิดการสะสมร่วมกับสิ่งสกปรกต่าง ๆ อุดตันรูขุมขนจนกลายเป็นสิวซีสต์ได้ในที่สุดนั่นเอง
- ทำความสะอาดผิวไม่ดี
ซึ่งคนไข้บางรายที่เข้ามาปรึกษาหมอ มักเข้าใจผิดว่าสิวซีสต์เกิดขึ้นเฉพาะบนใบหน้าเท่านั้น ทว่าในความเป็นจริง สิวดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย หากคนไข้ทำความสะอาดผิวหนังไม่ดี เซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกจะจับตัวรวมกับเชื้อแบคทีเรีย เมื่อเกิดการสะสมมากขึ้นก็จะนำไปสู่การเป็นสิวอักเสบรุนแรงได้เช่นกัน
- มีสารหรือสิ่งสกปรกอุดตันในรูขุมขน
ผิวหนังของมนุษย์จะมีรูขุมขนอยู่เป็นจำนวนมาก หากคนไข้ไม่รักษาความสะอาดของผิวหนังให้ดี ก็อาจทำให้มีสารหรือสิ่งสกปรกตกค้างในรูขุมขนได้ ซึ่งจะส่งผลให้รูขุมขนอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรีย P.acnes จนเกิดเป็นสิวซีสต์ได้นั่นเอง
- ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง
ระดับฮอร์โมนในร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ยิ่งเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตจากวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น จึงส่งผลให้ต่อมไขมันทำงานผิดปกติ ผลิตไขมันออกมาจำนวนมากเกินไป จนเกิดการสะสมร่วมกับเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ก่อให้เกิดสิวอักเสบรุนแรงขึ้นมาได้
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว
คนไข้จำนวนมากมักเข้าใจว่าเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ทว่าในความเป็นจริงจะมีเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิดที่มี Oil-based หรือมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบเยอะ ซึ่งจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ดังนั้นหากคนไข้ที่มีผิวมัน ไปใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ก็จะกระตุ้นให้หน้ามันยิ่งขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสิวซีสต์ได้นั่นเอง
สิวซีสต์หายเองได้ไหม
สิวซีสต์รักษายังไงและสิวดังกล่าวสามารถหายเองได้หรือไม่? เป็นอีกหนึ่งคำถามที่พบบ่อยมาก หมอต้องอธิบายก่อนว่าสิวที่อักเสบรุนแรงจนถึงระดับผิวหนังชั้นใน จริง ๆ แล้วก็สามารถรักษาตัวเองได้ แต่จะใช้ระยะเวลารักษานาน เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคแฝงอื่น ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น แถมยังมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้ด้วยนั่นเอง
แนวทางการรักษาสิวซีสต์จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ในส่วนของสิวซีสต์รักษายังไงนั้น หากทำการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะเริ่มกระบวนการรักษาจากการวินิจฉัยและประเมินระดับความรุนแรงของสิวดังกล่าว เพื่อจะได้วางแนวทางการรักษาที่เหมาะสมมากที่สุด ซึ่งการรักษาสิวซีสต์ที่นิยมในปัจจุบันก็มีหลายวิธีด้วยกันดังนี้
- ยาปฏิชีวนะ: ใช้เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการอักเสบ
- ยาเรตินอยด์: เป็นยาที่ช่วยลดการผลิตน้ำมัน ลดการอุดตันของรูขุมขน และลดการอักเสบ ซึ่งมีทั้งชนิดทาและรับประทาน
- ยาฮอร์โมน: ใช้ในผู้หญิงที่มีปัญหาสิวจากฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
- การกดสิว: แพทย์จะทำการกดสิวเพื่อระบายหนองออกจากสิวซีสต์
- การฉีดสเตียรอยด์: ช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวยุบตัวลงเร็วขึ้น
- เลเซอร์: ใช้ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิวซีสต์ หรือในบางกรณีอาจใช้เพื่อลดการอักเสบของสิวได้
สิวซีสต์เป็นหนึ่งในสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่ไม่ควรรักษาด้วยตนเอง และควรพบหมอเฉพาะทาง เพื่อรับการรักษาที่ถูกขั้นตอน และยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียของสิวดังกล่าวลุกลามจนเกิดปัญหาหลุมสิวและแผลเป็นในอนาคต
สำหรับการรักษาสิวซีสต์ของคุณหมอที่คลินิกรักษาสิว M Vita Clinic เรามี 2 โปรแกรมที่ตอบโจทย์ในการรักษาสิว และจัดการกับปัญหาผิวหน้ามัน มาแนะนำ ดังนี้
- Medi–Aclear ของ M VITA CLINIC เป็นโปรแกรมรักษาสิวอักเสบ สิวผด สิวอุดตัน สิวไม่มีหัว ครบวงจร โดยไม่ต้องทานยา ซึ่งโปรแกรมนี้จะเน้นการทำทรีตเมนต์รักษาสิว ร่วมกับการทำเลเซอร์เพื่อลดการอักเสบ ลดรอยดำรอยแดง และช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น
- Lumac–Clear ของ M VITA CLINIC โปรแกรมรักษาสิวอักเสบและสิวทุกชนิด โดยไม่ต้องทานยาที่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ระดับฮอร์โมนในร่างกายยังไม่คงดี ไม่สามารถทานยารักษาสิวได้หรือสตรีมีครรภ์ โดยโปรแกรมรักษาสิวดังกล่าว เน้นการทำทรีตเมนต์รักษาสิว ให้สิวอักเสบและสิวชนิดอื่น ๆ หายเร็วขึ้น
M Vita Clinic ยินดีให้คำปรึกษา ประเมินการรักษา ฟรี!
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่